ประวัติพรีเมียร์ลีก ประวัติฟุตบอลอังกฤษ
ประวัติพรีเมียร์ลีก เดิม football league แห่งนี้ ใช้ชื่อว่า “ฟุตบอลลีกดิวิชั่น 1” ซึ่งมีจัดการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) และถือว่าเคยเป็น “soccer league” ที่ยาวนานที่สุดในโลก โดยในปี พ.ศ. 2535 ในฤดูกาล 1992-93 ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นจาก “Ruperth Murdoch” นักธุรกิจสื่อสารรายใหญ่เจ้าของเครือข่าย สถานีโทรทัศน์สกาย (BSkyB) พยายามผลักดันให้ “football club” ที่จะลงแข่งขันใน “ดิวิชั่นหนึ่ง” ประจำ season 1992-93 ถอนตัวออกมาจัดตั้งเป็นพรีเมียร์ลีกทำให้ฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษที่มีอายุ 104 ปี ต้องยุติลง ขณะเดียวกันทาง “football league” เดิมได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อจาก “second division” มาเป็น “Division One” และดิวิชันอื่นได้เปลี่ยนตามกันไป ในช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่วงการ“football” อาชีพของอังกฤษตกต่ำอย่างมาก เกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ไม่ว่าเรื่องของสนามกีฬาที่มี “problem” เหตุการณ์อันธพาลลูกหนัง หรือที่เรียกว่า Houligan ทำลายภาพลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ
ไฟไหม้อัฒจันทร์ วันที่ 11 พฤษภาคม 2528 ที่สนามฟุตบอลของสโมสรฟุตบอลแบรดฟอร์ดซิตี ในระหว่าง competition มีผู้เสียชีวิต 56 คน เหตุการณ์วันที่ 15 เมษายน 2532 ที่สนามฟุตบอล Hillsborough ของสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์เวนส์เดย์ มีผู้คนเหยียบกันเสียชีวิตกว่า 96 คน นอกจากนี้โศกนาฏกรรมเฮย์เซลที่มีผู้เสียชีวิต 39 คน ทำให้ “UEFA” สั่งห้ามไม่ให้สโมสรจากอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันชิง ถ้วยสโมสรในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี อันธพาลลูกหนังที่ตามไป cheer team ที่ชื่นชอบ หลังจากการแข่งขันจะเกะกะระราน เข้าผับดื่มกินจนเมามาย บ้างก็วิวาทกับ football fans เจ้าถิ่นเกิดเหตุการณ์วุ่นวายบางครั้งรุนแรงถึงขั้นจลาจลหรือไม่ก็มีคนเสียชีวิต โดยโศกนาฏกรรม Haysel ส่วนหนึ่งมาจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน
ประวัติพรีเมียร์ลีก เหตุการณ์ football fans

หลายเหตุการณ์ทำให้ football fans ไม่สามารถชมการแข่งขันได้อย่างสงบสุข เนื่องด้วยกลัวจะโดนลูกหลง ประกอบกับสภาพ “bad field” ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือการป้องกันเหตุฉุกเฉินอย่างดีพอ ทำให้ British หลายคนตัดสินใจรับชมการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ที่บ้าน แทนที่จะเดินทางมาเชียร์ในสนามที่มี “reputation” เช่น “อดีต” ช่วง ทศวรรษ 1980 รายได้ของ club จากค่าผ่านประตูซึ่งเป็นรายได้หลักได้ลดลงอย่างมาก มีเพียง “top club” ไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยังคงมีกำไร ในฤดูกาล 1986-87 ทุก “football club” มีกำไรสุทธิรวมเพียง 2.5 ล้านปอนด์ พอถึงฤดูกาล 1989-90 รวมทุกสโมสรขาดทุนราวสิบเอ็ดล้านปอนด์ ทำให้นายทุนไม่กล้าจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจ “professional sports” นี้อย่างเต็มที่ หลายสโมสรในช่วงนั้นมีข่าวว่าใกล้จะล้มละลาย
ภายหลังเหตุการณ์ที่สนาม “Hillsborough” รัฐบาลอังกฤษได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น โดยมีลอร์ด Peter Taylor ผู้พิพากษาระดับรองประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะกรรมการ โดยผลการไต่สวนซึ่งเรียกว่า (Taylor Report) ได้กลายมาเป็นเอกสารสำคัญนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง “big time” ในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุง stadium ที่สำคัญคืออัฒจันทร์ชมการแข่งขันต้องเป็นแบบนั่งทั้งหมด ห้ามไม่ให้มี “amphitheater” ยืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ชมภายในสนาม โดยทีมในระดับดิวิชัน 1 และ 2 ต้องปรับปรุงให้เสร็จในปี 2537 และ ดิวิชัน 3 และ 4 ให้เสร็จในปี 2542 ส่งผลให้การยืนชมฟุตบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมการชมฟุตบอลของคนอังกฤษมานาน บางแห่งก็มีชื่อเสียงอย่างเช่นอัฒจันทร์ “The cross” ของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลต้องจบไป

ประวัติพรีเมียร์ลีก การเงินของสโมสรในพรีเมียร์ลีก
ถึงแม้ว่าใน “England” จะมี “football club” ที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก แต่สนามส่วนใหญ่จะมีสภาพเก่าและทรุดโทรมเป็นอย่างมาก บางสโมสรในระดับดิวิชันหนึ่งหรือดิวิชันสองยังคงมีอัฒจันทร์ที่สร้างด้วยไม้ ทำให้การปรับปรุงสนามฟุตบอลของสโมสร “English football” ครั้งนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ท่ามกลางสถานะ “financial” ที่ไม่มั่นคงเพราะรายได้ที่ควรจะมีกับลดน้อยลงเป็นอย่างมาก สโมสรเล็กบางแห่งซึ่งมี “few viewers” อยู่แล้วจึงใช้วิธีปิดตาย “Amphitheater” ยืนส่วน “big club” ที่ฐานะการเงินดีกว่าก็ประสบปัญหาเช่นกัน เพราะไม่อาจใช้วิธีเลี่ยงปัญหาแบบสโมสรเล็กได้
รัฐบาลอังกฤษในขณะนั้นต้องเข้าช่วยเหลือโดย “fee reduction” หรือภาษีธุรกิจพนันฟุตบอล นำเงินส่วนนี้มาตั้งกองทุนฟุตบอลจำนวน 100 ล้านปอนด์ ให้ฟุตบอลลีกเป็นคนจัดสรรให้ “football club” ซึ่งเป็นภาคีสมาชิกทั้ง 96 สโมสร นำไปพัฒนาปรับปรุงสนามแข่งขันของตนเอง แต่งบประมาณเท่านี้ต้องนับว่า “very little” หากนำมาเฉลี่ยอย่างเท่ากันแล้วจะได้รับเงินเพียงสโมสรละ 1.08 ล้านปอนด์เท่านั้น ขณะที่ “football club” ชั้นแนวหน้าของลีกต้องใช้เงินในการณ์นี้สูงถึงกว่าสิบล้านปอนด์ “big club” ในดิวิชันหนึ่งจึงกดดันฟุตบอลลีกจัดสรรเงินให้มากกว่า “small club” เพราะหากไม่เสร็จทันตามกำหนดอาจจะถูกถอนใบอนุญาตได้
ทีมในพรีเมียร์ลีก 2021-2022
- แมนฯ ยูไนเต็ด
- แมนฯ ซิตี้
- ลิเวอร์พูล
- อาร์เซน่อล
- เชลซี
- สเปอร์ส
- เวสต์แฮม
- เลสเตอร์
- เอฟเวอร์ตัน
- วูล์ฟแฮมป์ตัน
- แอสตัน วิลล่า
- คริสตัล พาเลซ
- เบรนท์ฟอร์ด
- ไบรท์ตัน
- เซาธ์แฮมป์ตัน
- ลีดส์
- วัตฟอร์ด
- เบิร์นลีย์
- นิวคาสเซิล
- นอริช
ผลบอลสด365
ผลบอล365