รีวิว Monster Hunter

ในสหรัฐอเมริกานั้นมีปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวฝังรากลึกในสังคมมาอย่างยาวนานจนไปปรากฏในกฎหมายที่บังคับใช้สากลในประเทศด้วยซ้ำ เราจะเห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันและการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมของผู้เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมหลายต่อหลายครั้ง

จนครั้งล่าสุดถึงขั้นมีกระแสการต่อต้านการเหยียดสีผิวจนกลายเป็นแคมเปญ Black Lives Matter ขึ้นมา เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้มีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งบน Netflix ที่หยิบยกนำเอาประเด็นความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายในอเมริกาต่อผู้คนผิวสีมาถ่ายทอดในชื่อ Monster

Monster Hunter

เป็นภาพยนตร์ที่สามารถสะท้อนสังคมอเมริกาออกมาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายที่บางด้านนั้นเหยียดผิวจนเห็นได้ชัดและเต็มไปด้วยความเน่าเฟะ เราจะได้เห็นการต่อสู้ทางกฎหมายในชั้นศาลของคนผิวสีที่เต็มไปด้วยความรู้และความสนุก ผู้กำกับสามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างมีชั้นเชิงและน่าสนใจ

แม้ว่าจะนำเอาประเด็นทางการเมืองที่ดูแล้วน่าเบื่อและเข้าใจยากอย่างกฎหมายมาเล่าก็ตาม แต่น่าเสียดายที่องค์รวมของเรื่องไปเน้นการเล่าเรื่องดราม่าเกี่ยวกับผิวสีมากกว่านำเสนอกฎหมายที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน

Monster Hunter

Monster เล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าสตีฟ เขาเป็นคนผิวสีอายุ 17 ปีธรรมดาทั่วไปที่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นนำ เขานั้นรายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือแม้แต่โรงเรียน อนาคตของเขาดูสดใสและสามารถไปได้อีกไกล

แต่ทุกอย่างก็สลายลงไปเมื่อเขาถูกตำรวจจับเข้าคุกในข้อหาร่วมกันก่อเหตุฆาตกรรมกับผู้อื่น จากนั้นภาพยนตร์ก็จะพาให้เราไปรับรู้เรื่องราวของเขาตั้งแต่เริ่มต้นว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่ทำให้เขาถูกจับ

Monster Hunter

ภาพยนตร์จะพาเราไปรับรู้เรื่องราวการต่อสู้ทางกฎหมายในชั้นศาลเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับตนเองของคนผิวสีที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ในช่วงแรกของการรับชมเรายังจะไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่

เพราะบริบททางสังคมและในภาพยนตร์เองต่างก็ทำให้เราคิดว่าเขานั้นถูกตำรวจจับข้อหาเนื่องจากเป็นเด็กผิวสี เรื่องราวจะค่อยๆ เฉลยความจริงออกมาให้เราได้รับรู้ มีการตัดสลับเล่าเรื่องราวระหว่างที่เขากำลังต่อสู้คดีและช่วงที่ใช้ชีวิตเป็นเด็กหนุ่มตามปกติที่อนาคตกำลังไกล ถือเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่

ชมตัวอย่าง : Monster Hunter

เครดิต :: เว็บรีวิวหนัง

เรียบเรียงโดย :: hitsfilms.net/